diluc genshin เป็นคาแรคเตอร์ใน Genshin Impact ที่หลายคนให้ฉายาว่าเป็น BATMAN แห่งเมือง Mondstadt ที่เบื้องหน้า เขาคือชายสุภาพบุรุษที่มีความพร้อมทุกอย่าง และไร้อารมณ์ขัน แต่เบื้องหลังเป็นฮีโร่ปกป้องเมือง Mondstadt ให้รอดพ้นจากอันตราย บทความนี้จะเป็นการเผยประวัติตัวละคร Diluc ใน Genshin Impact หนุ่มผมแดงที่เบื้องหน้าคือสุภาพบุรุษ เบื้องหลังเป็นฮีโร่ลึกลับ
diluc genshin คือใคร ?
diluc genshin เป็นตัวละคร 5 ดาว ธาตุไฟ (Pyro) ใช้อาวุธดาบขนาดใหญ่ Claymore ซึ่งมีจุดเด่นในด้านการทำ DPS ธาตุไฟได้ดี เล่นง่าย และสามารถใช้ได้ตลอดทั้งการเล่นเกม แน่นอนว่าหากพูดถึง BATMAN แห่งโลก Genshin Impact หลายคนจะนึกถึง Diluc เป็นอย่างแรก เพราะคาแรคเตอร์มีความคล้ายคลึงกับ Bruce Wayne หลายอย่าง ตั้งแต่เป็นคนรวย มีธุรกิจส่วนตัว เป็นคนมีความยุติธรรม และมักออกโรงปราบเหล่าผู้ร้ายในช่วงเวลากลางคืนเป็นประจำ
นอกจากนี้ Diluc เป็นตัวละครที่มีฉายาค่อนข้างหลากหลาย ตั้งแต่ถูกเรียกว่า Darknight Hero โดยชาวเมือง Mondstadt (แต่ทุกคนไม่รู้ว่าคน ๆ นั้นคือ Diluc), กัปตัน Pyro เรียกโดย Paimon และรวมถึงนายท่านแปลก ๆ หรือ “The Weird Grown-up” โดย Klee แต่รู้หาไม่ว่า Diluc ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในตัวละครของ Genshin Impact ที่ผ่านมรสุมชีวิตมามากมาย แล้วเนื้อหาจะน่าสนใจขนาดไหน มาเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักได้เลย
DILUC คนไฟแรง แดงสามเท่า
ย้อนกลับไปหลายปีก่อน สมัยที่ Diluc ยังเป็นวัยรุ่นไฟแรง เขามีความใฝ่ฝันอยากเป็นอัศวินแห่ง Favonius เหมือนที่พ่อของเขานามว่า Crepus เคยอยากเป็นแต่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ ด้วยเหตุผลดังกล่าว เขาจึงไม่ลังเลที่จะสมัครเป็นอัศวิน เพื่อปกป้องเมือง Mondstadt และเติมเต็มความฝันของพ่อให้เป็นจริง ระหว่างการเป็นอัศวินแห่ง Favonius Diluc ได้ฝึกฝนอย่างหนัก ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด และพร้อมรับความท้าทายต่าง ๆ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในทหารแนวหน้า ที่ได้รับความไว้วางใจกับเป็นแรงบันดาลใจให้อัศวินหลายคน และแน่นอน คุณพ่อของ Diluc เองก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวลูกชายที่สามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ด้วยแข้งขาของตัวเอง และได้เป็นอัศวินอย่างเต็มตัว ด้วยความทะเยอทะยานของ Diluc ทำให้เขาได้รับวีชันจากเทพเจ้าแห่งไฟ “Murata” ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่ Diluc มีความสุขที่สุด เพราะสามารถทำความฝันของพ่อให้เป็นจริง รวมถึงได้รับการยอมรับจากเทพเจ้า
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ DILUC กลายเป็นคนละคน
จนกระทั่งวันหนึ่ง พ่อของ Diluc และทีมคาราวานส่งสินค้า ได้ถูกโจมตีโดยมังกรยักษ์พันปี “Ursa the Drake” ซึ่งมีความสามารถเหนือชั้น และแข็งแกร่งเกินไปจนถึงขนาดสมาชิกทีมคาราวาน ซึ่งมีประสบการณ์ในการป้องกันตัวเอง หลบหนี และต่อสู้กับเหล่ามอนสเตอร์หลายครั้ง ก็ยังไม่สามารถต่อกรกับมันได้
อย่างไรก็ตาม พ่อ Diluc ที่ไม่ใช่ทั้งอัศวิน หรือคนที่เก่งกาจอะไร กลับสามารถปราบ Ursa the Drake ให้ล่าถอยไปได้ ด้วยการใช้พลังลึกลับบางอย่างที่หลายคนไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อน แต่พลังดังกล่าวกลับเข้ามาทำร้ายตัวเอง และต้องเสียชีวิตลงต่อหน้า Diluc หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทาง Diluc ได้รายงานเล่าเรื่องราวไปถึง Eroch ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บังคับบัญชาของอัศวินแห่ง Favonius แต่เขากลับได้รับคำตอบที่น่าขยะแขยง ว่าห้ามบอกความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อเป็นการรักษาชื่อเสียงของอัศวิน แล้วให้บอกว่าการตายของพ่อ Diluc นั้น “เป็นอุบัติเหตุที่แสนโชคร้าย”
Crepus พ่อของ Diluc เสียชีวิตจากการใช้พลังลึกลับ เพื่อปกป้องชาว Mondstadt แต่อัศวินกลับตอบแทนเขา ด้วยการห้ามเผยความจริง เพื่อ “รักษาชื่อเสียงของอัศวิน” ไว้ ทำให้ Diluc รู้สึกผิดหวังกับกองทหารแห่ง Favonius มาก ๆ เขาตัดสินใจออกจากอัศวินแห่ง Favonius กับละทิ้งวีชัน แล้วเดินทางเพื่อล้างแค้นให้พ่อ และค้นหาความจริงเกี่ยวกับพลังลึกลับโดยเพียงลำพัง
ตลอด 3 ปี Diluc ได้เดินทางไปหลายประเทศในทวีป Teyvat จนกระทั่งพบหลักฐานที่ “ค่อนข้าง” ชัดเจนว่า Crepus ได้เสียชีวิตจากการใช้วีชันปลอม ที่สามารถขยายขีดจำกัดความสามารถ จนเป็นอันตรายต่อผู้ใช้เสียเองได้ ซึ่งวีชันปลอมดังกล่าว สร้างโดยฝีมือขององค์กร Fatui จาก Snezhnaya ที่หวังต้องการสร้าง “เนตรมาร” ตามจุดประสงค์ของ “Tsaritsa” ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำแข็ง
หลังจากรับรู้ความจริง Diluc เริ่มทำการบุกรุกโจมตีเจ้าหน้าที่และแหล่งกบด่านของ Fatui อย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อล่อให้หนึ่งในผู้บริหาร Fatui จากทั้งหมดสิบเอ็ดคน ต้องปรากฏตัวต่อหน้าเขา แล้วปราบผู้บริหารเพื่อให้พวกมันคลายความจริงออกมา อย่างไรก็ตาม ด้วยแผนของ Diluc ที่มุทะลุและดุดัน ทำให้เขาต้องได้บาดเจ็บจากการต่อสู้หลายครั้ง และเกือบทำให้เขาเกือบเสียชีวิตมาแล้ว แน่นอนว่า Diluc ไม่มีทางอยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ ถ้าหากไม่มี “สายสืบ” จากหน่วยข่าวกรองใต้ดินของแดนเหนือ ซึ่งได้ “สังเกต” Diluc มาสักครั้งแล้ว เข้ามาช่วยเหลือเขาอย่างถูกเวลา
ระหว่างการพักฟื้น Diluc ได้มองย้อนอดีตเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เขาได้ตระหนักถึงข้อบกพร่องของตัวเอง และยินดีที่จะเข้าร่วมกับหน่วยข่าวกรอง เพื่อมองหาความจริงเกี่ยวกับแผนการของ Fatui และการสร้าง “เนตรมาร” ต่อไป
ผ่านไป 4 ปี ในที่สุด Diluc ได้กลับมาที่เมืองอีกครั้ง พร้อมกลายเป็นผู้สานต่อกิจการ Dawn Winery หรือโรงผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นมรดกชิ้นเดียวที่พ่อของเขามอบไว้ให้กับลูกชาย แม้จะรู้ในภายหลังว่า Eroch ถูกไล่ออกจากกองอัศวินแห่ง Favonius หลังได้รับยืนยันว่าเขาเป็น “กบฏ”, Jean ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรบในสมัยวัยรุ่น ได้เข้ามารับตำแหน่งเป็น “รักษาการณ์ผู้บัญชาการ” ระหว่างที่ Varka ไม่อยู่ในเมือง เพื่อออกไปทำภารกิจ และ กองอัศวินแห่ง Favonius กำลัง “ติดหนี้” ก้อนใหญ่ให้กับ Fatui จากการช่วยปราบ Ursa the Drake ให้เมือง Mondstadt แต่สุดท้าย Diluc จะไม่กลับมาเป็นอัศวิน ยังคงบริหารกิจการ Dawn Winery ต่อไป และยืนหยัดว่าอัศวินแห่ง Favonius นั้น “ไร้ประสิทธิภาพ” เหมือนเดิม
แต่ Diluc ยังไม่ทอดทิ้งวิชาดาบ และสายเลือดนักรบแต่อย่างใด ในช่วงเวลากลางวัน เขาคือสุภาพบุรุษที่มีความพร้อมทุกอย่าง แต่ช่วงเวลากลางคืน เขาคือ “Darknight Hero” ผู้พิทักษ์ลึกลับที่มักล่ากำจัด Abyss ผู้ชั่วร้ายได้ก่อนที่อัศวิน Favonius จะเริ่มทำงานเสียอีก และแน่นอนเขายังทำหน้าที่ตรวจสอบความเคลื่อนไหวของ Fatui ในเมือง Mondstadt อีกด้วย เนื่องจาก Darknight Hero สามารถกำจัดเหล่า Abyss ได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ที่ชาว Mondstadt จะหวังพึ่งพา Darknight Hero มากกว่าอัศวินแห่ง Favonius รวมถึงมีการตั้งข้อสงสัยไม่ไว้วางใจว่า ฮีโร่ได้มีจุดประสงค์อื่นที่ไม่ดีแอบแฝงอยู่หรือไม่ ส่วน Diluc เองก็ดูเหมือนว่าไม่ใส่ใจ
บทความที่เกี่ยวข้อง